คริกเก็ตเล่นยังไง สำหรับมือใหม่

กีฬาคริกเก็ต ( Crickets ) จะมีความคล้ายคลีงกับกีฬาเบสบอลเป็นอย่างมาก โดยจะมีอุปกรณ์และวิธีการเล่นที่คล้ายกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันพอสมควร โดยการเล่นคริกเก็ตจะเน้นการทำให้ผู้เล่นต้องออกจากสนาม ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่งตามกฏกติกา ซึ่งจะมีการใช้พลังงานในการเล่นเป็นอย่างสูงมาก ถึงแม้ว่าตัวเกมจะไม่ได้รับความนิยมในประเทศไทยแต่กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศอินเดีย โดยการเล่นคริกเก็ตนั้นสามารถเล่นแบบไม่ต้องใช้อุปกรณ์ให้ครบก็ได้ เพียงแต่อาจจะเกิดความอันตรายกับผู้เล่นได้ จึงทำให้ผู้คนทั่วไปไม่เล่นกันเหมือนกับกีฬาอื่นๆที่สามารถเล่นได้ด้วยอุปกรณ์เพียงไม่กี่อย่างและไม่ต้องใช้เครื่องป้องกันใดๆ

ประวัติความเป็นมาของคริกเก็ต

กีฬาคริกเก็ตได้ถูกคิดค้นในช่วงยุคล่าอาณานิคมของอังกฤษ มีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีมาก่อนช่วงปี ค.ศ. 1550 และยังเป็นที่แพร่หลายในหลายๆประเทศอีกต่างหาก เพราะอังกฤษนั้นได้ล่าอาณานิคมอยู่หลายประเทศ ตัวอย่างเช่น อินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน ศรีลังกา และออสเตรเลีย เป็นต้น โดยเฉพาะกับประเทศอินเดียที่ได้รับอิทธิพลมาจากอังกฤษทางด้านกีฬา ถึงได้มีการจัดการแข่งขัน อินเดียน พรีเมียร์ลีก ( Indian Premier League ) ขึ้นมา เป็นการแข่งขันคริกเก็ตในประเทศอินเดีย ซึ่งได้รับความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับชาวอินเดียในยุคนั้น ผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับการยกย่องราวกับวีรบุรุษ และได้ค่าตอบแทนที่แพงที่สุดในบรรดาประเภทนักกีฬาทั้งหมดของประเทศอินเดีย แม้แต่กระทั่งดาราของประเทศยังหันมาให้ความสนใจ อย่างนาย ชาห์รุข ข่าน ( Shahrukh Khan ) จนได้ก่อตั้งทีมคริกเก็ตเป็นของตัวเอง โดยใช้ชื่อทีมว่า โกลกาตา ( Kolkata Knight Riders ) ในช่วงปี ค.ศ. 2008 ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่ายังคงเป็นกีฬาที่ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ผู้คนก็ยังให้ความสนใจกันอยู่จนถึงทุกวันนี้

สนามและอุปกรณ์ในกีฬาคริกเก็ต

สนามของกีฬาคริกเก็ตนั้นจะมีลักษณะเป็นรูปวงรีเกือบกลม พื้นในสนามจะเป็นหญ้าคล้ายสนามฟุตบอล ส่วนตรงกลางสนามมีกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าไว้สำหรับขว้างและตีลูก ซึ่งเรียกว่า พิทช์ ( Pitch ) ความยาวประมาณ 20.12 เมตร ความกว้างประมาณ 3.05 เมตร โดยจะมีเส้นที่เรียกว่าเส้นปลอดภัยอยู่ในกรอบทั้ง 2 ฝั่ง อยู่ห่างกันประมาณ 17.68 เมตร และในลาน พิทช์ จะมีเสาไม้ 3 ต้นวางเชื่อมกันด้วยตัวหนอน 2 ตัวเรียกว่า วิกเก็ต ( Wicket )

อุปกรณ์ของกีฬาคริกเก็ต จะประกอบไปด้วย ไม้ตี ( Bat ), ลูกบอล ( Cricket Ball ), ถุงมือ ( Gloves ), หมวก ( Helmet ), เครื่องกันป้องกันหน้าแข้ง ( Leg Guard ), เครื่องป้องกันน่อง ( Thigh Guards ), เครื่องป้องกันน่องภายใน ( Inner Thigh Guard ), เครื่องป้องกันส่วนหน้าอก ( Chest Guard ), กระจับ ( Groin Guard ), ถุงมือคีปเปอร์ ( Keeper’s Gloves ) และ วิกเก็ต ( Wicket )

กฏกติกาในการเล่นคริกเก็ต

การเล่นคริกเก็ตนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ทีม โดยจะมีฝั่งละ 11 คน ซึ่งก่อนเริ่มเล่นจะทำการตัดสินว่าทีมไหนจะเป็นทีมที่ได้เริ่มเล่นทีมตีหรือทีมรับก่อน โดยจะทำการโยนเหรียญและให้ทั้งสองฝ่ายเลือกหน้าเหรียญ หากใครทายถูกก็จะได้เป็นทีมตีหรือทีมรับก่อน เวลาในการแข่งขันจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ( Innings ) โดยจะทำการขว้างบอลให้โดนวิกเก็ตที่จะมีผู้รักษาเอาไว้อยู่ หากโดนวิกเก็ตผู้รักษาจะต้องออกจากสนาม หากบอลถูกตีและถูกรับเอาไว้ได้ผู้รักษาคนนั้นก็ต้องออกเช่นกัน และวิธีสุดท้ายสำหรับการนำผู้เล่นออกจะเป็นการที่ผู้รับเก็บบอลได้และใช้ลูกบอลทำลายวิกเก็ตก่อนที่ผู้ตีจะวิ่งถึงเขตปลอดภัย การจบเกมจะจบลงก็ต่อเมื่อผู้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งสูญเสียผู้เล่นไปทั้งหมดครบ 10 คนแล้วนั้นเอง

ทีมตี ( Batsman )

  • ตีลูกและวิ่งไปยังไม้วิกเก็ตอีกฝั่งหนึ่งก่อนที่ฝ่ายสนามจะโยนลูกไปโดนไม้วิกเก็ตฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เมื่อมือตีทั้ง 2 คนวิ่งไปสุดทางแล้วจึงนับเป็น 1 คะแนน แต่ผู้ตีสามารถตัดสินใจได้ว่าจะไม่ออกไปก็ได้ ถ้าเห็นว่าลูกนั้นเสี่ยงถูกทำให้ออกจากสนาม หรือจะวิ่งมากกว่า 1 คะแนนก็ได้ถ้าเห็นว่าฝ่ายสนามไม่สามารถโยนบอลเข้ามาได้ทัน
  • ตีลูกให้ออกจากสนามโดยที่ลูกกระดอนหรือสัมผัสพื้น นับเป็น 4 คะแนน
  • ตีลูกให้ออกจากสนามโดยที่ลูกลอยออกหรือไม่สัมผัสพื้นเลย นับเป็น 6 คะแนน

ทีมรับ ( Bowler )

ผู้ขว้าง ( Bowler ) ทำหน้าที่เป็นคนขว้างลูกให้มือตี ( Batsman ) โดยต้องทำให้ฝ่ายตีออกจากสนามให้มากที่สุดโดยมีหลายวิธีคือ
  • ขว้างลูกให้โดนไม้วิกเก็ต ( Wickets ) ที่อยู่ด้านหลังของมือตี
  • ขว้างลูกให้โดนขาของมือตีที่อยู่ด้านหน้าของไม้วิกเก็ต
  • รับลูกที่มือตี ตีออกมาโดยที่ลูกยังไม่สัมผัสพื้นหรือออกจากสนาม
  • โยน ขว้าง หรือปาลูกไปโดนไม้วิกเก็ตก่อนที่มือตีจะวิ่งมาถึงสุดเส้นของลานวิ่ง ถ้าโดนไม้วิกเก็ตฝั่งไหน มือตีที่ยืนฝั่งนั้นก่อนจะเริ่มเล่นลูกนั้นต้องออกจากสนาม

สรุป

คริกเก็ตเป็นกีฬาที่อาศัยการทำให้ผู้เล่นอีกฝ่ายต้องออกจากสนาม ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ออกด้วยวิธีไหนในฏกกติกา และเป็นกีฬาที่ใช้เวลาค่อนข้างไม่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับความเก่งของแต่ละทีมที่เจอกัน เป็นกีฬาที่ทำให้ผู้ชมต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่ทีมไหนจะทำให้ผู้เล่นอีกฝั่งออกจากสนามได้หมดก่อนกัน เป็นกีฬาที่เหมาะสำหรับใครที่มีเวลาว่างในการรับชมเป็นอย่างมาก เพราะกฏกติกาที่ไม่จำกัดเวลาในการเล่น อาจจะทำให้เกมๆหนึ่งใช้เวลาทั้งวันเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ก็เป็นกีฬาที่ควรค่าแก่การรับชม เพราะมีความบันเทิงที่ไม่เหมือนกับกีฬาอื่นที่ต้องลุ้นกับเวลาหรือข้อจำกัดรอบในการเล่น

แบดมินตันเล่นยังไง สำหรับมือใหม่

กีฬาแบดมินตันเป็นกีฬาที่ใช้อุปกรณ์การเล่นน้อยชิ้น เพียงแค่มีไม้แร็คเกตและลูกขนไก่ รวมถึงผู้เล่นเพียง 2 คน ก็สามารถเล่นได้แล้ว อีกทั้ง ยังเป็นกีฬาสบายๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการออกกำลังกายอย่างหักโหมเกินไป ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ ทำไมผู้คนจึงหันมาให้ความสนใจกับแบดมินตันกันทั่วโลกอย่างแพร่หลาย จนได้กลายเป็นกีฬาสากลที่ทั่วโลกยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬาการแข่งขันหรือกีฬายามว่าง

ประวัติข้อมูลของแบดมินตัน

แบดมินตันเป็นกีฬาที่ได้รับการวิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดถึงที่มาของกีฬาประเภทนี้ คงมีแต่หลักฐานบางอย่างที่ทำให้ทราบว่า กีฬาแบดมินตันเล่นกันในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ ตอนปลายศตวรรษที่ 17 และจากภาพสีน้ำมันหลายภาพได้ยืนยันว่า กีฬาแบดมินตันเล่นกันอย่างแพร่หลายในพระราชวงศ์ของราชสำนักต่างๆ ในทวีปยุโรป แม้ว่าจะเรียกกันในชื่ออื่นก็ตาม

โดยแบดมินตันได้รับการบันทึกแบบเป็นลายลักษณ์อักษรในปี พ.ศ. 2413 ซึ่งพบว่า มีการเล่นกีฬาลูกขนไก่เกิดขึ้นที่เมืองปูนา ( Poona ) ในประเทศอินเดีย ในระยะแรกการเล่นแบดมินตันจะเล่นกันเพียงแต่ในหมู่นายทหารกองทัพและสมาชิกชนชั้นสูงของอินเดียเท่านั้น ทั้งนี้ก็จะได้เริ่มมีการแพร่หลายมากยิ่งขึ้นจนไปถึงยุโรปจนกลายเป็นกีฬาของทุกชนชั้น เพราะด้วยความที่อุปกรณ์นั้นสามารถทำได้ง่าย จึงทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้กันมากขึ้น

กฏกติกาของแบดมินตัน

โดยก่อนจะทำการเริ่มนับแต้ม ผู้เล่นจะต้องทำการเลือกเสี่ยง ฝ่ายที่ชนะการเสี่ยง จะมีสิทธิ์เลือกตามกติกาว่าจะเลือกส่งลูกก่อนหรือรับลูกก่อน ผู้ที่ชนะจะทำดำเนินเกมตามที่ตัวเองได้เลือกเอาไว้ และผู้แพ้ก็ต้องเล่นตามที่ชนะเลือกเท่านั้น

การนับแต้มของแบดมินตัน

ข้อกำหนดโดยทั่วไปนั้นจะบังคับให้ผู้เล่นจะต้องชนะให้ได้มากที่สุด 3 เกมในแต่ละแมทช์ ยกเว้นแต่จะมีการตั้งเงื่อนไขเอาไว้อีกแบบตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งนี้ยังมีเรื่องของเพศกำเนิดเข้ามาเกี่ยวข้องในการนับแต้มด้วยเช่นกัน หากเป็นผู้ชายจะต้องทำให้ได้ 15 แต้มเท่านั้น จึงจะนับว่าชนะในเกมนั้น ส่วนผู้หญิงจะนับที่ 11 แต้มจึงจะนับว่าชนะแล้วเท่านั้น หากผลท้ายเกมออกมาขาดฝ่ายละ 1 แต้ม เช่น ฝ่ายชาย 14 ต่อ 14 และ ฝ่ายหญิง 10 ต่อ 10 ฝ่ายที่ได้แต้ม 14 หรือ 10 แต้มก่อนจะมีสิทธิ์เลือกว่าจะทำการเล่นต่อหรือไหม หากต้องการเล่นต่อจะขยายเพดานแต้มไปเป็น ชาย 17 แต้ม และ หญิง 13 แต้ม กล่าวคือเพิ่มเพดานคะแนนไป 2 แต้ม

การส่งลูกแบดมินตัน

แบดมินตันนั้นต้องมีการส่งลูกที่ถูกต้อง โดยทั้งสองฝ่ายต้องไม่ประวิงเวลาให้เกิดความล่าช้าในการส่งลูกทันทีที่ผู้ส่งลูกและผู้รับลูกอยู่ในท่าพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต้องยืนในสนามส่งลูกทะแยงมุมตรงข้ามโดยเท้าไม่เหยียบเส้นเขตของสนามส่งลูก บางส่วนของเท้าทั้งสองของผู้ส่งลูกและผู้รับลูก ต้องแตะพื้นสนามในท่านิ่งตั้งแต่เริ่มส่งลูกจนกระทั่งส่งลูกแล้วเท่านนั้น

การตีส่งลูกผู้ตีจะต้องทำการตีเข้าที่ฐานของลูกเท่านั้น ทุกส่วนของลูกจะต้องอยู่ต่ำกว่าเอวของผู้ส่ง ขณะที่แร็กเกตสัมผัสลูก ก้านแร็คเกตของผู้ส่งลูกในขณะที่ตีลูก ต้องชี้ลงต่ำจนเห็นได้ชัดว่า ส่วนหัวทั้งหมดของแร็คเกตอยู่ต่ำกว่าทุกส่วนของมือที่จับแร็คแกต

วิถีลูกจะพุ่งขึ้นจากแร็กเกตของผู้ส่งลูกข้ามตาข่าย และถ้าปราศจากการสะกัดกั้น ลูกจะตกลงบนพื้นสนามส่งลูกของผู้รับลูก ถ้าการส่งลูกไม่ถูกต้องจะถือว่าเสีย หากมีการกระทำผิดอย่างเห็นได้ชัด หรือพยายามทำให้ผิดอยู่ตลอดเวลา กรรมการสามารถตัดสิทธิ์ผู้กระทำผิดและถอนการจากการแข่งขันได้ทันที

สรุป

แบดมินตันเป็นกีฬาที่มีรูปแบบการเล่นคล้ายเทนนิสแต่จะมีอุปกรณ์ที่รูปร่างแตกต่างกันเล็กน้อย และมีการใช้พลังงานในการเล่นที่น้อยกว่า ทั้งนี้ยังมีกฏกติกาและรูปแบบการเล่นที่สามารถเข้าถึงผู้คนทั่วไปได้มากกว่า ทำให้กลายเป็นกีฬาที่หลายๆบ้านต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี และยังเป็นกีฬาแข่งขันสากลอีกต่างหาก ทำให้สามารถเดิมพันกับกีฬาที่คุ่นเคยได้เป็นอย่างดี เป็นกีฬาที่แทบจะไม่ต้องทำการศึกษาใดๆเลยก็ว่าได้

เทนนิสเล่นยังไง สำหรับมือใหม่

เทนนิสเป็นกีฬาที่เล่นในร่มหรือกลางแจ้ง แบ่งเป็น 2 ฝ่ายแข่งกัน โดยมีผู้เล่นในประเภทเดี่ยวฝ่ายละ 1 คน และแบบผู้เล่นในประเภทคู่ฝ่ายละ 2 คน ใช้ไม้เทนนิสตีส่งลูกไปมาเหนือตาข่ายภายในเขตที่กำหนด โดยพยายามตีลูกให้ลงในแดนคู่แข่ง จนคู่แข่งไม่สามารถตีลูกกลับมาลงในแดนของเราได้ โดยจะมีกฏกติกาที่คอยกำหนดเงื่อนไขในการทำแต้มต่างๆ ไม่ให้เทนนิสกลายเป็นกีฬาที่คอยตีส่งกันไปมา

เทนนิสเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

เทนนิสเป็นเกมกีฬาชนิดหนึ่งซึ่งใช้ไม้แร็กเก็ต ถือกำเนิดในยุโรปช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ช่วงแรกๆนั้นเทนนิสได้แพร่ขยายไปยังกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูง แท้จริงแล้วเทนนิสเป็นกีฬาสากลและเป็นเกมที่เล่นกันในเกือบทุกประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1926 ซึ่งมีการจัดทัวร์นาเมนต์ครั้งแรก เทนนิสจึงได้กลายเป็นกีฬาอาชีพ เทนนิสได้ถูกบรรจุในกีฬาโอลิมปีก ณ โซล ปี ค.ศ.1988

การเล่นเทนนิส

การเลือกแดนหรือเลือกเสิร์ฟ ผู้ตัดสินจะทำการโยนเหรียญเพื่อตัดสินหาผู้ชนะ ซึ่งจะสามารถเลือกได้จาก 1 ใน 3 ตัวเลือกต่อไปนี้

  1. เลือเสิร์ฟหรือรับเสิร์ฟก่อนในเกมแรก โดยคู่แข่งจะได้เลือกแดนแทน
  2. เลือกแดนในเกมแรก โดยคู่แข่งจะได้เลือกเสิร์ฟหรือรับเสิร์ฟในเกมแรกแทน
  3. เลือกให้คู่แข่งเป็นฝ่ายเลือก 1 ใน 2 ข้อด้านบน

ลูกการเสิร์ฟ

ลูกการเสิร์ฟ ( Serving ) คือการตีส่งบอลครั้งแรกของคะแนนนั้นๆไปให้คู่แข่ง ประเภทผู้เล่นเดี่ยวจะผลัดกันเสิร์ฟฝ่ายละ 1 เกมไปเรื่อยๆ ส่วนในการเล่นประเภทคู่ ผู้เล่นทั้งสองในฝ่ายเดียวกันจะต้องผลัดการเสิร์ฟคนละ 1 เกมด้วย ( ฝ่ายหนึ่งผลัดเสิร์ฟในเกมคี่ ฝ่ายหนึ่งผลัดเสิร์ฟในเกมคู่ )
  • การเสิร์ฟ โยนบอลและตีกลางอากาศ
  • การเสิร์ฟ ห้ามเดิน วิ่ง หรือเคลื่อนที่ไปมาขณะเสิร์ฟ ( Foot fault ) ยกเว้นเท้าเคลื่อนที่เล็กน้อย ส่วนฝ่ายรับจะยืนบริเวณใดก็ได้ในฝ่ายของตน
  • การเสิร์ฟ ยืนหลังเส้นหลังในด้านที่กำหนดไว้สำหรับคะแนนนั้นๆ ห้ามเหยียบเส้นใดๆ รวมทั้งห้ามยืนเลยแนวเส้นข้างและแนวขีดกลางของเส้นหลัง ( Foot fault )
  • การเสิร์ฟโดยตีไม่โดนบอล จะถือว่าการเสิร์ฟครั้งนี้เสีย แต่การโยนบอลแล้วปล่อยบอลตกลงพื้นโดยที่ไม่พยายามตีบอลสามารถทำได้และสามารถเริ่มเสิร์ฟใหม่ได้
  • การเสิร์ฟโดยตีบอลแล้วบอลไปโดนหรือสัมผัสวัตถุอื่นก่อนตกลงพื้นสนามถือว่าเสิร์ฟเสีย เช่น โดนเสาตาข่าย โดนผู้เล่นฝ่ายเดียวกับเรา เป็นต้น
  • การเสิร์ฟ จะต้องเสิร์ฟโดยสลับฝั่งขวา/ซ้ายของเส้นเสิร์ฟกลางไปทุกคะแนน กล่าวคือ ในเกมทั่วไปเริ่มเสิร์ฟคะแนนแรกที่ด้านหลังสนามด้านขวาของเส้นเสิร์ฟกลาง ( ด้าน Deuce court ) และในคะแนนถัดไปต้องสลับไปเสิร์ฟที่หลังสนามด้านซ้ายของเส้นเสิร์ฟกลาง ( ด้าน Advantage court )
  • การเสิร์ฟเมื่อเล่นเกมไทเบรก ( Tie break ) ฝ่ายแรกจะเสิร์ฟแค่คะแนนที่ 1 ก่อน จากหลังสนามด้านขวาของเส้นเสิร์ฟกลาง ( ด้าน Deuce court ) และต่อจากนี้จะผลัดการเสิร์ฟฝ่ายละ 2 คะแนนไปเรื่อยๆสลับกัน โดยตั้งแต่คะแนนที่ 2 จะให้อีกฝ่ายเริ่มเสิร์ฟจากหลังสนามด้านซ้ายของเส้นเสิร์ฟกลาง ( ด้าน Advantage court ) และต้องสลับด้านเสิร์ฟซ้าย/ขวาไปทุก 1 คะแนนเช่นกัน หากเล่นประเภทคู่ก็ต้องสลับกันเสิร์ฟคนละ 2 คะแนนเช่นกัน
  • การเสิร์ฟจะต้องเสิร์ฟให้บอลลงในกรอบพื้นที่เสิร์ฟ ( Service box ) ของฝ่ายตรงข้ามในแนวแยง เช่น กรณีเราเสิร์ฟจากด้านซ้าย ลูกเสิร์ฟจะต้องไปตกในกรอบพื้นที่เสิร์ฟด้านซ้ายของฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน ( ด้านขวามือเรา ) เป็นต้น
  • เสิร์ฟเล็ต ( Let ) จะต้องทำการเสิร์ฟลูกนั้นใหม่ ได้แก่ การเสิร์ฟโดยที่ลูกสัมผัสตาข่ายแล้วตกลงในกรอบพื้นที่เสิร์ฟที่ถูกต้องในแนวทแยง หรือลูกสัมผัสตาข่ายแล้วไปโดนผู้เล่นฝั่งตรงข้ามโดยที่ลูกยังไม่ตกพื้น หรือการเสิร์ฟเมื่อผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามยังไม่พร้อม ยกเว้นการเสิร์ฟที่ลูกสัมผัสตาข่ายแล้วตกนอกกรอบพื้นที่เสิร์ฟที่ถูกต้องจะถือว่าลูกนั้นเสียทันที ( fault )
  • การเสิร์ฟ มีสิทธิ์เสิร์ฟได้คะแนนละ 2 ครั้ง หากเสิร์ฟครั้งแรกเสีย จะต้องเสิร์ฟครั้งที่ 2 และหากเป็นการเสียของลูกเสิร์ฟครั้งที่ 2 ของคะแนนนั้น ( Double fault ) จะต้องเสียคะแนนนั้นให้คู่แข่งด้วย

การตีลูกกลับ

  • เมื่อลูกข้ามตาข่ายมาแล้ว สามาถตีลูกกลับไปในแดนคู่แข่ง โดยที่ลูกบอลอาจจะยังไม่กระทบพื้นสนามเลยก็ได้ หรือลูกกระทบพื้นสนามฝ่ายของเรามาแล้วไม่เกิน 1 ครั้งก็ได้
  • ต้องตีลูกบอลกลับภายในครั้งเดียว
  • การตีลูกบอลกลับแล้วลูกสัมผัสตาข่ายข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามไม่ถือว่าผิดกติกา
  • ผู้เล่นฝ่ายใดไม่สามารถตีลูกบอลกลับไปยังแดนของฝ่ายตรงข้ามได้โดยถูกกติกา จะต้องเสียคะแนนนั้นให้คู่แข่ง

การสลับแดน

การสลับแดนเมื่อเกมรวมกันเป็นเลขคี่และเมื่อจบเซ็ต แต่หากจบเซ็ตโดยเกมรวมกันเป็นเลขคู่ จะสลับแดนหลังจากจบเกมแรกของเซ็ตถัดไป ส่วนการสลับแดนในการเล่นไทเบรกจะสลับเมื่อคะแนนรวมกันได้ทุก 6 คะแนน

การตัดสินผู้ชนะ

การตัดสินผู้ชนะของการแข่งขัน ( Match ) ตัดสินจากจำนวนเซ็ต ( Set ) ที่ได้กำหนดไว้ในการแข่งขันนั้น โดยในแต่ละเซ็ตจะประกอบด้วยหลายๆเกม ( Game ) และในแต่ละเกมจะประกอบไปด้วยการนับคะแนน ( Point ) จากการเล่นดังนี้

การนับเกมของเซ็ต

  • ในแต่ละเซ็ต ฝ่ายใดทำได้ 6 เกมก่อนและอีกฝ่ายทำได้ไม่เกิน 4 เกม จะเป็นฝ่ายชนะในเซ็ตนั้น เช่น ชนะ 6-4 เกม หรือ 6-3 เกม เป็นต้น
  • กรณีเซ็ตนั้น เสมอกันที่ 5-5 เกม จะต้องเล่นต่อจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำได้ 7 เกมก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะเซ็ตนั้น เช่น ชนะ 7-5 เกม
  • กรณีเซ็ตนั้น เสมอกันที่ 6-6 เกม จะต้องเล่นไทเบรกต่อในเกมที่ 7 เพื่อตัดสินผู้ชนะเซ็ต ซึ่งจะชนะ 7-6 เกม หรือแพ้ 6-7 เกม ( ยกเว้นในเซ็ตสุดท้ายของรายการแกรนด์สแลมจะไม่มีการเล่นไทเบรก จะเล่นจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำคู่แข้งได้ 2 เกม )
  • จำนวนเกมในแต่ละเซ็ตอาจแปรเปลี่ยนได้ตามกติกาของบางรายการรายการแข่งขันที่กำหนดขึ้นเฉพาะกิจ

การนับคะแนนของเกม

  • ในเกมหนึ่งๆ ไม่ฝ่ายใดก็ตามทำคะแนนได้จะนับคะแนนของฝ่ายนั้นเรียงตามลำดับดังนี้ 15, 30, 40, เกม ( ซึ่งก็คือคะแนนที่ 1, 2, 3, 4 ที่ทำได้ตามลำดับนั่นเอง ) ส่วนคะแนนศูนย์ (O) ภาษาอังกฤษขานว่า เลิฟ ( Love )
  • ในการขานคะแนน ให้ขานคะแนนของฝ่ายที่เสิร์ฟขึ้นก่อน เช่น 40-30 หมายถึง ฝ่ายเสิร์ฟได้ 40 คะแนน และฝ่ายรับเสิร์ฟได้ 30 คะแนน เป็นต้น
  • หากคะแนนเสมอกันที่ 40-40 จะต้องเล่นต่อไปอีก 2 คะแนน เรียกว่า ดิวซ์ ( Deuce ) และเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำคะแนนนำ 1 คะแนนได้ก่อน เรียกว่า ได้เปรียบ ( Advantage มักใช้อักษรย่อ A หรือ Adv ) เช่น 40-A หรือ A-40 และหากฝ่ายนั้นทำได้อีก 1 คะแนน ก็จะชนะในเกมนี้ไป แต่หากทำไม่ได้ถือว่ากลับมาเสมอกันที่ 40-40 อีกครึ่ง และก็ต้องเล่นดิวซ์ต่อไป ( แต่มีกติกาพิเศษในบางรายการแข่งขันที่กำหนดว่าจะไม่มีการเล่นต่อ 2 คะแนน ฝ่ายไหนได้คะแนนหลังจากคะแนนที่ 40 ก่อนถือว่าชนะเกมนั้น )
  • หากเกมใดที่ฝ่ายเสิร์ฟของเกมนั้นเป็นฝ่ายชนะ จะเรียกว่า รักษาเกมเสิร์ฟได้ แต่หากฝ่ายเสิร์ฟแพ้เกมนั้น จะเรียกว่าถูกเบรกเกมเสิร์ฟ
  • ไทเบรก ( Tie break ) ใช้เพื่อตัดสินผู้ชนะของเซ็ตนั้นในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายเสมอกันที่ 6-6 เกม การเล่นเกมที่ 7 เป็นเกมสุดท้ายของเซ็ต เรียกว่าเล่น ไทเบรก โดยในเกมนี้จะนับคะแนนเป็น 1, 2, 3, …. ไปเรื่อยๆ ฝ่ายใดที่ทำได้ 7 คะแนนก่อนจะเป็นผู้ชนะในเซ็ตนั้น เช่น ชนะ 7-4 คะแนนของเกมที่ 7 ก็จะเป็นฝ่ายชนะในเซ็ตนั้น เป็นต้น แต่หากคะแนนของเกมนี้เสมอกันที่ 6-6 คะแนนอีก ผู้เล่นฝ่ายใดก็ตามที่ทำคะแนนนำคู่แข่งได้ 2 คะแนนก่อนจะเป็นผู้ชนะในเซ็ตนั่น เช่นชนะ 8-6 คะแนน หรือ แพ้ 8-10 คะแนน เป็นต้น เมื่อไทเบรกจบลง ผลจะเป็นชนะ 7-6 เกม หรือแพ้ 6-7 เกมในเซ็ตนั้นๆ ( ยกเว้นในเซ็ตสุดท้ายของรายการแกรนด์สแลมจะไม่มีการเล่นไทเบรก )

สรุป

เทนนิสเป็นกีฬาที่มีความดุเดือดในการโต้ลูกบอลกลับเป็นอย่างมาก ผู้ชมเทนนิสนั้นจะรู้ดีว่านักกีฬาใช้พลังกำลังในการเล่นเป็นอย่างสูง สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ยังมีเรื่องของเทคนิคของนักกีฬาแต่ละคนอีกต่างหาก เหมาะสำหรับใครที่ชอบดูกีฬาแบบจดจ่อ ทำให้การแทงเดิมพันยิ่งมันส์ขึ้นไป ทั้งนี้ผู้เดิมพันก็สามารถเชียร์ได้โดนลงเงินเดิมพันเพียงไม่เท่าไหร่ก็ได้ เสริมความลุ้นระทึกในการเล่นแต่ละครั้งเข้าไปอีก โดยทางเว็บไซต์ของเรา MIAMI789 นั้น ก็มีบริการให้เดิมพันกับกีฬาเทนนิสด้วยเช่นกัน เพียงแค่สมัครและกดเข้าสู่หมวดหมู่กีฬาเท่านั้น

อเมริกันฟุตบอลคืออะไร

อเมริกันฟุตบอลเป็นเกมกีฬาที่จะใช้ผู้เล่นทั้งหมด 11 คนในแต่ละทีม โดยแต่ละฝั่งจะต้องใส่เครื่องป้องกันที่มีความทนทานและซึมซับแรงปะทะได้เป็นอย่างดี เพราะตัวนักกีฬาของอเมริกันฟุตบอลนั้นจะมีการปะทะที่รุนแรงเข้าหากัน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายนักกีฬาได้ เป้าหมายของการทำแต้มในแต่ละเกมนั้นคือการนำลูกบอลไปเข้าขอบสนามของอีกฝั่งที่จะมีหน้าที่เป็นเอนด์โซนหรือประตู การนำลูกบอลเข้าเอนด์โซนสามารถทำได้หลายแบบ แต่ก็จะได้แต้มคะแนนที่แตกต่างกันไป หากใครได้มากกว่าก็จะเป็นผู้ชนะนั้นเอง

ผู้เล่นของอเมริกันฟุตบอล

ในแต่ละทีมจะต้องมีผู้เล่นฝั่งละ 11 คนในสนามเท่านั้น โดยจะสามารถสลับเปลี่ยนผู้เล่นได้ ตามแต่สถานการณ์ ซึ่งแต่ละทีมใน NFL จะมีผู้เล่นในทีม 53 คนและจะแบ่งออกเป็นทีมรุก ( Offense Team ) ทีมรับ ( Defensive Team ) และทีมพิเศษ ( Special Team ) โดยผู้เล่นสำรองไม่จำกัดแต่ห้ามเข้าเขตสนามระหว่างที่บอลกำลังเล่นอยู่

ตำแหน่งทั้งหมดของอเมริกันฟุตบอล

โดยในอเมริกันฟุตบอลจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ได้แก่ทีมรุกและทีมรับ โดยจะทำการแบ่งตำแหน่งต่างๆ ทั้งหมดดังนี้

ทีมรุก

  • Offensive Line ( OL ) ออฟเฟนซ์ซิฟไลน์ จะมีผู้เล่น 5 คน โดยเป็นออฟเฟนซ์ซีฟแทกเกิล ( Offensive Tackle / OT ) 2 คน, การ์ด ( Guard / G ) 2 คน และ เซนเตอร์ ( Center / C ) 1 คน หน้าที่หลักๆของออฟเฟนซ์ซีฟไลน์คือ ต้องป้องกันผู้ขว้างบอล และ ทะลวงเปิดทางให้กับผู้เล่นวิ่งพาบอล การเริ่มเล่นจะเริ่มจากผู้เล่นตำแหน่งเซนเตอร์ สแนปลูกบอล ส่งผ่านใต้หว่างขาของตัวเองให้กับเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งปกติแล้วจะเป็นผู้เล่นตำแหน่งควอเตอร์แบค
  • ควอเตอร์แบค ( Quarterback / QB ) จะเป็นผู้ที่ได้รับลูกบอลในเกือบกุกการเล่น หลังจากนั้นก็จะส่ง หรือ โยนลูกบอลต่อให้กับผู้เล่น รันนิ่งแบค ( Running Back ) หรือขว้างให้กับผู้เล่นตำแหน่งที่อนุญาติให้รับบอลได้ หรืออาจวิ่งพาลูกไปเองก็ได้
  • รันนิ่งแบค ( Running Back / RB ) อาจจะมีการเรียกว่า ฮาร์ฟแบค ( Half Back ) หรือ เทลแบค ( Tail Back ) และ ฟูลแบค ( Full Back / FB ) จะจัดตำแหน่งก่อนเล่นอยู่ข้างหลัง หรือ ข้างๆ OB มีหน้าที่ในวิ่งพาบอล ( โดยเฉพาะ RB ) หรือทำการสกัดผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ( โดยเฉพาะ FB ) รับลูกบอลที่ขว้างมาให้ หรือ แม้แต่ทำการขว้างบอลไปให้เพื่อนร่วมทีม
  • ไวด์รีซีฟเฟอร์ ( Wide Receiver / WR ) จะเรียงตัวอยู่ใกล้เส้นข้างสนาม มีหน้าที่ในการรับลูกบอลขว้างมา
  • ไทท์เอนด์ ( Tight End / TE ) จะวางตัวอยู่ในตำแหน่งนอกออฟเฟนซ์ซีฟไลน์ เล่นได้เหมือนทั้ง WR โดยการรับลูกที่ขว้างและ OL โดยการป้องกัน QB หรือ ทะทวงทางวิ่งให้กับผู้เล่นวิ่งพาบอล

ทีมรับ

  • ดีเฟนซ์ซีพไลน์ ( Defensive Line / DL ) ประกอบด้วยผู้เล่น 3 ถึง 5 โดยที่เป็นดีเฟนซ์ซีฟเอนด์ ( Defensive End ) 2 คน ดีเฟนซ์ซีฟแทกเกิล ( Defensive Tackle / DT ) 1 ถึง 2 คน และอาจมี โนสแทกเกิล ( Nose Teckle / NT ) 1 คนเรียงตัวตรงข้ามกับออฟเฟนซ์ซีฟไลน์ มีหน้าที่ในการแทกเกิลสกัดรันนิ่งแบคในการวิ่งกินระยะ หรือแทกเกิลควอเตอร์แบคก่อนทำการขว้างบอล
  • ผู้เล่นอย่างต่ำ 4 คนจะเรียงตัวในตำแหน่ง ดีเฟนซ์ซีฟแบค ( Defensive Back / DB ) ซึ่งประกอบด้วยผู้เล่นในตำแหน่งคอร์เนอร์แบค ( Corner Back / CB ), ฟรีเซฟตี ( Free Safety / FS ) และสตรองเซฟตี ( Strong Safety / SS ) มีหน้าที่ป้องกันผู้เล่นรับลูกฝ่ายรุก ในการรับลูกบอลและบางครั้งก็อาจจะทำการจู่โจมเข้าหาควอเตอร์แบค
  • ผู้เล่นอื่นในทีมรับเรียก ไลน์แบคเกอร์ ( Line Backer / LB ) เรียงตัวอยู่ระหว่าง DL และ DB ทำหน้าที่หลายอย่าง โดยอาจจู่โจมเข้าหาควอเตอร์แบค ป้องกันผู้เล่นรับลูก หรือ สกัดผู้เล่นวิ่งพาลูก

ทีมพิเศษ

กลุ่มของผู้เล่นที่มีหน้าที่ในเกี่ยวกับการเตะทั้งหลาย เรียกว่า ทีมพิเศษ หรือ สเปเชียลทีม ( Special Teams ) ผู้เล่นในทีมพิเศษนี้จะมี พันท์เตอร์ ( Punter / P ) ซึ่งเป็นผู้เตะทิ้ง โดยเป็นการถือลูกตเะ และ คิกเกอร์ ( Kicker / K ) หรืออาจเรียก เพลซคิกเกอร์ ( Place Kicker / PK ) เป็นผู้เตะเปลี่ยนและผู้เตะประตูซึ่งเป็นการเตะลูกบอลการการวางบนพื้นสนามโดยวางอุปกรณ์ตั้งลูก และ จับวางโดยเพื่อนร่วมทีม ตามลำดับ

เวลาช่วงการแข่งขัน

ระยะเวลาการแข่งขันแบ่งเป็น 2 ครึ่ง แต่ละครึ่งแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงละ 15 นาที เรียก ควอเตอร์ ( Quarter ) รวมเป็นเวลาแข่งขัน 60 นาที และมีช่วงเวลาพักครึ่งระหว่าง ควอเตอร์ที่ 2 และ ควอเตอร์ที่ 3 เป็นเวลา 10 นาที ทว่าในการเล่นแต่ละครั้งอาจจะมีการหยุดเวลาหลังการเล่นเมื่อลูกตาย

ในการแข่งขัน NFL หากมีคะแนนเสมอกันหลังจบเวลาการแข่งขันปกติ จะมีการต่อเวลาการแข่งขันออกไปอีก 15 นาทีการตัดสินว่าทีมใดจะครองลูกครั้งแรกใช้การเสี่ยงเหรียญทาย ทีมแรกที่สามารถทำคะแนนได้จะเป็นฝ่ายชนะทันที แต่ถ้าหากไม่มีทีมใดทำคะแนนได้ใน 15 นาทีนี้ ถ้าเป็นการแข่งขันในฤดูกาลปกติการแข่งขันนัดนั้นจะตัดสินผลเป็นเสมอกัน แต่ถ้าหากเป็นการแข่งขันเพลย์ออฟ จะต่อเวลาไปอีกครั้งละ 15 นาที จนกว่าจะมีทีมใดทีมหนึ่งทำคะแนนได้

การขอเวลานอก ( Overtime )

แต่ละทีมมีสิทธิ์ขอเวลานอกได้ครึ่งละสามครั้ง ครั้งๆละ 1.50 นาที โดยการขอเวลานอกทำโดยการส่งสัญญาณมือให้ผู้ตัดสินทราบ การขอเวลานอกกระทำได้ทั้งโดยหัวหน้าผู้ฝึกสอนหรือผู้เล่นในสนาม หากใช้ไม่หมดจะไม่สามารถนำไปทบรวมกับครึ่งหลังได้ และ ห้ามไม่ให้ขอเวลานอกในช่วง 2 นาทีสุดท้ายของควอเตอร์ที่ 2 และ 4

นอกจากเวลานอกของแต่ละทีมแล้วกรรมการจะให้เวลานอกอีก 2 ครั้งโดยอัตโนมัติที่เวลา 2 นาทีสุดท้ายของควอเตอร์ที่ 2 และ 4 โดยมีกำหนดเวลา 1.50 นาที

การเริ่มเล่น หรือ คิกออฟ ( Kick Offs )

การเล่นเริ่มต้นด้วยการเสี่ยงโยนเหรียญเพื่อเลือกว่าฝ่ายใดจะได้ครองบอล ( Possession ) เป็นฝ่ายบุก ( Offense ) ก่อน, และเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายส่งผู้เล่นลงสนามแล้ว ทีมพิเศษฝ่ายรับ ( Defensive Special Team ) จะเปิดเกมส์ด้วยการเตะเปิด ( Kick Off ) ส่งบอลให้ ทีมพิเศษฝ่ายบุก ( Offensive Special Team ) ได้รับบอลและเริ่มการบุก

 

  • ถ้าทีมพิเศษฝ่ายรับเตะบอลเข้าไปในเขตเอนด์โซน ( End Zone ) ของฝ่ายบุก ( Offensive ) และไม่มีผู้รับบอลได้หรือเตะเลยเอนด์โซนออกไปทางด้านหลัง ทีมบุกจะได้สิทธิ์ออกมาเริ่มต้นการเล่นที่เส้น 20 หลาในแดนตัวเอง
  • ถ้าทีมพิเศษฝ่ายบุกรับบอลแล้วมีการวิ่งพาบอลเพื่อทำระยะ ทีมพิเศษฝ่ายรับสามารถเข้าหยุดยั้งด้วยการแทคเกิล ( Tackle ) ซึ่งหากสามารถทำแทคเกิลได้ที่ระยะใดทีมบุกจะต้องลงมาเริ่มต้นเล่นที่จุดนั้นใหม่
ตำแหน่งของการวางบอลที่เกิดจากการแทคเกิลจะใช้ตำแหน่งของบอลในขณะที่ถูกแทคเกิลและเป็นผล

การทำคะแนนของอเมริกันฟุตบอล

วิธีการทำคะแนนในกีฬาอเมริกันฟุตบอลนั้นมีหลายวิธีด้วยกัน โดยจะมีจากทั้ง การบุก, การเปลี่ยนการครองบอล, การขว้างบอล และ การเตะทิ้ง ซึ่งจะมีคะแนนแต้มที่แตกต่างกัน วิธีการได้รับแต้มทั้งหมดจะมีดังนี้

  • การบุก ทีมบุกจะได้สิทธิ์การเล่นเป็นชุด ( set of play ) ในแต่ละชุดทีมบุกจะมีโอกาสในการเล่น สูงสุดไม่เกิน 4 ครั้ง ( 4 Downs ) โดยจะต้องพยายามทำระยะในการบุกให้ได้ มากกว่าหรือเท่ากับ 10 หลาต่อการบุกหนึ่งชุด หากสามารถทำระยะได้ไม่ว่าจะเป็นการเล่นในดาวน์ที่เท่าไหร่ก็ตาม การเล่นครั้งต่อไปจะถูกนับว่าเป็นการเล่นในชุดใหม่ทันที ( First Down Conversation ) แต่ถ้าหากไม่สามารถทำระยะได้ภายในดาวน์ที่ 4 ทีมบุกจะเสียการครองบอล ( Possession ) ทันที และทีมบุกฝ่ายตรงข้ามจะได้สิทธิ์ในการเริ่มเล่น ณ จุดที่เสียการครองบอลแทน( ทีมบุกสามารถเลือกที่จะใช้ดาวน์ที่ 4 ในการ เตะกินแดน Punt kick แทนการเล่น เพื่อสละการครองบอลไปให้ฝ่ายตรงข้ามได้ )
  •  การเปลี่ยนการครองบอล ( Possession Change ) สามารถเกิดได้ด้วยสาเหตุทั้งหมด 3 อย่าง 1 ทีมบุกเปลี่ยนจากการเล่นในดาวน์ใดๆมาเป็นการเตะกินแดนเพื่อสละการครองบอลให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบอลและวิ่งย้อนทำระยะ, 2 ทีมบุกเสียการครองบอลจากการที่ถูกทีมรับดักบอล ( Intercept ) หรือยึดจับบอลได้จากการทำบอลหลุดและบอลยังไม่ตาย ( Fumble ) และวิธีสุดท้าย ทีมบุกเตะเปลี่ยนการครองบอล ( Kick off ) ให้ทีมรับหลังจากการทำคะแนนแล้ว
  • การขว้างบอล ผู้เล่นสามารถรับบอลที่ถูกขว้างขึ้นหน้าได้ต้องเป็นผู้เล่นในตำแหน่งที่มีสิทธิ์รับบอลเท่านั้น ได้แก่ ผู้เล่นทีมรับทุกคน, ผู้เล่นทีมบุกที่ไม่ได้จรดในตำแหน่ง Center, Guard, Tackle ทั้งนี้ผู้เล่นทีมบุกสามารถขว้างบอลขึ้นหน้าได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้นต่อการเล่น 1 ดาวน์ ( ทำผิดเสีย 5 หลา ) หากผู้ที่จะทำการขว้างขึ้นหน้าต้องขว้างจากหลังแนววางบอลเท่านั้น ( ทำผิดเสียดาวน์และ 5 หลา ) หากผู้เล่นทีมบุกที่สามารถรับบอลได้ถูกบอลที่ขว้างแล้ว ( รับหรือสัมผัส ) ผู้เล่นทีมบุกคนอื่นๆ จะกลายเป็นผู้เล่นที่มีสิทธิ์รับบอลได้ทันที, การขว้างบอลขึ้นหน้าให้แก่ผู้เล่นที่ไม่มีสิทธิ์รับนั้น, ถ้าถูกบอลโดยไม่เจตนาหลังแนววางบอล จะเสีย 5 หลา, ถ้าถูกบอลเหนือแนววางบอลไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่จะเสีย 5 หลา, การขว้างบอลขึ้นหน้าจะไม่สำเร็จ ( Incomplete ) และบอลตายเมื่อขว้างบอลออกนอกสนามหรือขว้างลงพื้น หรือ ขว้างบอลโดนเสาประตูหรือคานประตู, การรับบอลที่ขว้างขึ้นหน้าได้ในขณะที่มีการครองบอล, ในการเล่นดาวน์ที่ 4 หากการขว้างบอลไม่สำเร็จ ทีมบุกจะเสียดาวน์ที่ตำแหน่งแนววางบอลม, ถ้ามีการทำฟาวล์บุคคล ( Personal foul ) โดยผู้เล่นทีมรับก่อนที่จะการขว้างจะสำเร็จ ทางทีมจะได้รับ 15 หลา แต่ถ้าหากมีการทำฟาวล์รบกวนการรับบอล โดยผู้เล่นทีมรับต่อผู้เล่นทีมบุกที่จะรับบอล, ทีมรับจะเสียระยะโดยทีมบุกจะได้เริ่มเล่นดาวน์ที่ 1 ที่จุดทำฟาวล์
  • การเตะทิ้ง หรือ พันท์ ( Punt ) ถ้าหากทีมรุกไม่สามารถกลับไปเริ่มดาวน์ที่หนึ่งได้หลังจากการเล่น 3 ครั้งแล้ว คือการเปลี่ยนเป็นดาวน์ที่ 1 ไม่ได้ภายใน 3 ครั้ง ส่วนมากดาวน์ที่ 4 ทีมที่ได้บุกจะไม่เล่นต่อ แต่จะให้ทีมพิเศษของฝ่ายตัวเองลงมาพันท์เพื่อกินระยะ แล้วเปลี่ยนให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายบุกแทน เนื่องจากถ้าเล่นครบ 4 ดาวน์แล้ว ยังไม่สามารถบุกได้ระยะ 10 หลา จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถเริ่มบุกจากจุดสุดท้ายที่ลูกตาย ดังนั้นเลยต้องพันท์ทิ้ง เพื่อเอาระยะให้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มบุกจากระยะห่างจากเอนด์โซนของฝ่ายตัวเอง ส่วนในการรับลูกพันท์แล้ววิ่งย้อนนั้นสามารถทำได้เหมือนกับการรับลูก Kick off แต่จะมีกฏพิเศษคือ เมื่อทีมพิเศษรับลูกหรือแตะโดนลูก จะทำให้การเล่นเพลย์นั้นเป็นฟรีเพลน์ หรือคือการเล่นครั้งนั้นถ้าการเล่นสิ้นสุดลงทีมไหนครอบครองลูกได้ก็จะได้เป็นฝ่ายบุกทันที ยกตัวอย่างเช่น ทีมเอพันท์ไปให้ทีมบี แล้วทีมบีรับลูกวิ่งย้อนคืนมาแล้วเกิดฟัมเบิ้ล ( fumble ) แล้วทีมเอเก็บลูกได้ ทีมเอก็จะได้บุกต่อทันที ณ ตำแหน่งที่ลูกตาย ในการรับลูกพันท์เราจะเห็นรับลูกวิ่งย้อนชูมือแล้วโบกไปมาบ่อยๆ มันก็คือการเรียกแฟร์แคท ในการเรียกแฟร์แคทหมายถึง การที่ตัวรับลูกวิ่งย้อนเมื่อรับลูกแล้ว จะไม่สามารถวิ่งต่อเพื่อเพิ่มระยะได้ แต่จะได้สิทธิพิเศษก็คือ รับพิเศษของฝ่ายพันท์จะไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทคเกิลได้โดยเด็ดขาด

สรุป

อเมริกันฟุตบอลเป็นเกมกีฬาที่อาศัยความแข็งแรงของนักกีฬาและความสามารถในการมองเกมให้ขาดของโค้ชเป็นอย่างมาก เพราะหากยิ่งเล่นเสียเท่าไหร่ก็จะยิ่งห่างไกลจากเอนด์โซนมากยิ่งขึ้น หากฟุตบอลเป็นเกมกีฬาประจำชาติของอังกฤษแล้วนั้น อเมริกันฟุตบอลก็เป็นกีฬาประจำชาติของอเมริกาด้วยเช่นกัน เป็นเกมกีฬาที่มีความสนุกและน่าสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ก็ดูง่ายเพราะการคะแนนของเกมไม่ได้มีขั้นตอนอะไรที่ยุ่งยาก แต่จะเป็นการจัดการตำแหน่งของผู้เล่นสะมากกว่าที่ต้องอาศัยทักษณะและประสบการณ์ในการดู ซึ่งการแทงในเว็บของ Miami789 นั้นก็แทงได้ง่ายเหมือนกับการแทงฟุตบอล เพียงแค่กดเข้าไปที่หน้าเกมส์ของทางเว็บไซต์ และเลือกทีมที่ต้องการจะทำการเดิมพัน เพียงเท่านี้ผู้เล่นก็สามารถนั่งดูเพลิดเพลินไปกับอเมริกันฟุตบอลได้แล้ว

สนุกเกอร์คืออะไร

สนุกเกอร์เป็นกีฬาที่ใช้ไม้คิวในการเล่น โดยเล่นบนโต๊ะผ้าสักหลาดหนาที่มีหลุมอยู่ 4 มุมโต๊ะ และตรงกลางของด้านยาวอีกด้านละหลุม โต๊ะขนาด 12 ฟุต x 6 ฟุต การเล่นใช้ไม้คิวและลูกสนุกเกอร์ มีลูกสีขาว 1 ลูก ลูกสีแดง 15 ลูก มีคะแนนลูกละ 1 คะแนน และมีลูกสีต่างๆ คือสีเหลือง 2 คะแนน สีเขียว 3 คะแนน สีน้ำตาล 4 คะแนน สีน้ำเงิน 5 คะแนน และสีดำ 7 คะแนน ผู้เล่นชนะ 1 เฟรม โดยแต้มที่เหนือกว่าฝั่งตรงข้าม โดยใช้แทงลูกสีแดงและแทงลูกสี ผู้ที่ชนะจำนวนเฟรมมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ

ประวัติความเป็นมาของสนุกเกอร์

สนุกเกอร์ได้เกิดขึ้นในเมืองจาบาลปุร์ ประเทศอินเดียโดยทหารอังกฤษ ไนช่วงยุค 1870 ด้รับความนิยมในหมู่ผู้เล่นที่ใช้ภาษาอังกฤษและประเทศในเครือจักรภพแห่งชาติ โดยผู้เล่นมืออาชีพมักจะได้รับเงินรางวัลจำนวนมากจากการแข่งขัน ขณะนี้เป็นที่นิยมมากขึ้นในจีน การเดินทางของผู้เล่นอาชีพเพื่อเข้าการแข่งขันที่จัดขึ้นทั่วทุกมุมโลก รายการทัวร์นาเมนต์ใหญ่คือเวิลด์สนุกเกอร์แชมเปียนชิป จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเมืองเซฟฟีลด์ที่ประเทศอังกฤษ

กฏกติกาการเล่นสนุกเกอร์

ผู้เล่นสนุกเกอร์จะต้องทำการใช้ไม้คิวแทงลูกสีขาวเท่านั้น เพื่อให้กลิ้งไปกระทบลูกสีให้ลงหลุมจึงจะได้คะแนน และได้เล่นต่อไปจนกว่าผู้เล่นจะไม่สามารถทำให้ลูกสีลงหลุมได้ จึงจะเปลี่ยนให้ผู้เล่นอื่นได้เล่นบ้าง โดยมีข้อบังคับในลำดับการเล่นลูกสีต่างๆ โดยเริ่มเล่นจากลูกสีแดงก่อน หากทำลูกสีแดงลงหลุม จึงจะมีสิทธิ์เล่นลูกสีอื่นๆ สีใดก็ได้ตามแต่ละผู้เล่นเลือก หากเล่นลูกสีอื่นอีกครั้ง ( เมื่อลูกสีลงหลุม กรรมการจะนำกลับมาตั้งใหม่ที่จุดของลูกนั้นนกเว้นลูกสีแดงที่จะไม่นำกลับมาตั้งใหม่ ) เป็นอย่างนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนกว่าลูกสีแดงจะลงหลุมทั้งหมด 15 ลูก จึงเล่นลูกสีอื่นตามลำดับดังนี้ เหลือง เขียว น้ำตาล น้ำเงิน ชมพู และ ดำ เป็นลูกสุดท้าย ( ในช่วงนี้ลูกสีจะไม่นำกลับมาตั้งใหม่แล้ว ) เมื่อลูกสีลงหลุมหมดทุกลูก ก็จะทำการนับคะแนนรวมของแต่ละฝ่าย ฝ่ายที่ได้รับคะแนนมากกว่าจะเป็นฝ่ายชนะในเกมนั้นไป

สรุปสนุกเกอร์

สนุกเกอร์เป็นกีฬาที่ใช้ทักษณะในการอ่านวิถีของการชิ่งของลูกเป็นอย่างสูง ต้องใช้ความรู้และทักษณะการฝึกมาเป็นอย่างดี หากต้องการแทงผู้เล่นสนุกเกอร์ควรศึกษาให้ละเอียดสะก่อนว่าผู้เล่นคนนั้นมีประวัติที่น่าลงเดิมพันมากแค่ไหนสะก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะมีการแต่การเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้หากผู้เล่นมีความเข้าใจการเล่นสนุกเกอร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นสักเท่าไหร่ แต่ก็ควรประมาณการเล่นให้เหมาะสม ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนได้

เบสบอลคืออะไร

เบสบอลเป็นเกมกีฬาประเภททีม โดยผู้เล่นที่ขว้างบอลจะถูกเรียกว่าพิชเชอร์ จะทำการขว้างลูกเบสบอลซึ่งมีขนาดประมาณเท่ากำปั้น มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ให้ผู้เล่น ให้ผู้เล่นทีมรุกหรือที่เรียกว่าแบตเตอร์ นั้นทำการตีลูกด้วยไม้เบสบอลซึ่งจะทำจากไม้หรืออะลูมิเนียมการคำคะแนนในเกมนั้นจะได้จากการที่แบตเตอร์วิ่งไปสัมผัสฐานหรือเบสซึ่งวางอยู่ตามจุดต่างๆ 4 จุดตามลำดับโดยเริ่มตั้งแต่เบสแรกไปจนถึงโฮมเพลต และในบางครั้งถ้าผู้ตีได้ตีลูกบอลออกไปนอกสนามโดยอยู่ในเส้นฟาวล์ จะเรียกว่าโฮมรัน ซึ่งจะได้แต้มไป 1 คะแนน เบสบอลนั้นบางครั้งก็เรียก ฮาร์ดบอล หรือ บอลแข็ง เพื่อเป็นการระบุความแตกต่างจากกีฬาอีกประเภทหนึ่งคือ ซอฟต์บอล ซึ่งมีลักษณะการเล่นที่คล้ายกัน

ตำแหน่งของเบสบอล

  1. ผู้โยนลูก หรือ พิชเชอร์
  2. ผู้รับลูกจากการโยนเริ่มเล่นของผู้โยนลูก หรือ แคชเชอร์
  3. ผู้เล่นเบส 1 หรือ เฟิร์สเบสแมน
  4. ผู้เล่นเบส 2 หรือ เซ็กเค็นเบสแมน
  5. ผู้เล่นเบส 3 หรือ เติร์ดเบสแมน
  6. ผู้เล่นที่ยืนระหว่างเบส 2 กับเบส 3 หรือ ชอร์ตสต็อป
  7. ผู้เล่นหลังซ้าย หรือ เลฟท์ฟิลเดอร์
  8. ผู้เล่นหลังกลาง หรือ เซ็นเตอร์ฟิลเดอร์
  9. ผู้เล่นหลังขวา หรือ ไรท์ฟิลเดอร์
หากสามารถทำหน้าที่ป้องกันการได้คะแนนของทีมรุกและทำให้ทีมรุกออกได้ 3 คน ทีมจะได้รับโอกาสเปลี่ยนกลับมาเป็นทีมรุกเพื่อเข้าทำคะแนน ( Run ) โดยผลัดเป็นทีมรุกและทีมรับทีมละ 1 ครั้ง จะเรียกว่า 1 อินนิ่ง ( Inning ) ซึ่งทีมใดสามารถทำคะแนนได้มากกว่าภายใน 7 อินนิ่งได้ หรือใช้เวลา หรือจำนวนอินนิ่งที่น้อยกว่าตามแต่ตกลงกันไว้ จะเป็นผู้ชนะอย่างไรก็ตาม นอกจากต้องมีความรู้ความสามารถในทักษณะกีฬาซอฟท์บอลเฉพาะตัวและทีมแล้วนั้น ผู้เรียนหรือผู้เล่นจะต้องมีสมรรถภาพกายภาพที่ดี มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การกีฬา ศึกษา เทคนิค แทคติกต่างๆ ทั้งเมื่อเป็นทีมรุกและทีมรับตลอดจนต้องศึกษากฏกติกาอย่างถ่องแท้ และรู้จริงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่น หรือการแข่งขันให้สูงขึ้นอีก

กฏกติกาพื้นฐานของเบสบอล

สิ่งที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับกฏพื้นฐานของเบสบอลนั้นหากจะให้อธิบายง่ายๆนั้น จะมีฝ่ายที่ขว้างลูกและฝ่ายที่ตีลูก โดยฝ่ายที่ตีลูกจะเป็นฝ่ายที่มีโอกาสทำคะแนน โดยเมื่อมีการขว้างลูกมา คนตีที่ตีลูกได้จะทำการวิ่งไปที่ฐานเรียกว่า เบส โดยจะมีอยู่ทั้งหมด 4 จุด โดยแต่ละเบสก็จะมีคนของทีมขว้างประจำอยู่เช่นกัน โดยถ้าคนตีวิ่งไปเบสก่อนที่ทีมขว้างจะไปเอาบอลที่ขว้างออกไปมาถึงคนเฝ้าเบสได้ จะเรียกว่าเซฟ แล้วคนตีคนต่อไปก็จะมาตีต่อ ถ้าตีโดนลูกบอลคนแรกที่ประจำเบสอยู่นั้นจะสามารถวิ่งต่อไปที่เบสต่อไปได้ แล้วผู้ตีอีกคนก็จะทำการวิ่งมาเช่นกัน แล้วก็จะได้แต้มก็ต่อเมื่อทีมตีมีคนวิ่งเข้าเบสที่ 4 แล้ว การวิ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องวิ่งทีละเบส ถ้าคนตีสามารถตีได้ไกลก็จะมีเวลาวิ่งไปหลายเบสได้ หรือถ้าตีออกไปนอกสนามไปเลยก็จะได้แต้มเพิ่มพิเศษ 1 แต้ม เรียกว่าโฮมรัน บวกกับแต้มจากคนที่ประจำตามจุดจะเข้าเบส 4 กันอีก กติกาคร่าวๆสำหรับการดูเบสบอลก็จะมีดังนี้ แต่หากผู้ชมต้องการเข้าใจกฏมากกว่านี้ก็สามารถหาอ่านเสริมได้เช่นกัน

5 เทคนิคสำหรับการแทงเบสบอล

การแทงเบสบอลนั้นมีหลายเทคนิคด้วยกันที่อาจจะช่วยให้คุณมีโอกาสชนะมากขึ้น แต่ต้องจำไว้ว่าการเดิมพันเป็นการเสี่ยง ไม่มีวิธีชนะที่แน่นอน ไม่มีอะไรสามารถการันตีได้เสมอไป แต่หากใช้เทคนิคเข้าช่วยก็จะเพิ่มโอกาสแทงชนะให้กับผู้เล่นมากยิ่งขึ้น โดยเทคนิคต่างๆจะมีดังต่อไปนี้

  1. การเลือกเว็บเดิมพันกีฬาออนไลน์ที่ดีที่สุด ควรให้ความสำคัญกับความเชื่อถือได้ของแพลตฟอร์ม การค้นคว้าเว็บไซต์ที่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับการเดิมพัน เช่น การเงินรางวัลและบริการลูกที่ดี โดยทางเว็บไซต์ของเรานั้นมีทั้งโบนัส บริการฝาก ถอน โอนไวที่สุด และเปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน
  2. การศึกษาและเข้าใจกติกาเบสบอล เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบเกมและเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจการเดิมพันง่ายขึ้น
  3. การคำนวณราคาต่อรอง ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับราคาเบสบอลและการแทงแบบต่างๆ ในการเดิมพันอย่าลืมเปรียบเทียบราคาต่อรองแบบเบสบอลในเว็บต่างๆ
  4. การวิเคราะห์สถิติของทีม ช่วยให้คุณทราบถึงฟอร์มและประสิทธิภาพของทีมในการแข่งขัน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจเดิมพัน
  5. การพิจารณาสภาพอากาศ เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจมีผลต่อการแข่งขัน เพราะการแข่งขันเบสบอลนั้นมีการสัมผัสพื้นสนามหญ้าที่สำคัญไม่แพ้กับฟุตบอล
  6. การศึกษาสูตรการดิมพันเบสบอล จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการวางแผนการเดิมพัน และช่วยให้คุณมีกลยุทธ์ที่ดีในการแทงเบสบอล

สรุป

กีฬาเบสบอลเป็นเกมที่ใช้ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายสำหรับกันรุกและรับ แข่งกันทำคะแนนก่อนเวลาที่กำหนด โดยอุปกรณ์สำคัญในการเล่นของเบสบอลนั้นจะเป็นตัวลูกบอล ไม้ตี เบส และถุงมือ เป็นเกมที่ใช้สมาธิและร่างกายที่แข็งแรงในการเล่นเป็นอย่างสูง หากโค้ชไม่สามารถวางตำแหน่งของนักกีฬาได้เป็นอย่างดีก็อาจจะส่งผลต่อรูปเกมได้ ทั้งนี้เบสบอลเป็นเกมที่ได้ความนิยมในอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก หากใครต้องการกีฬาแนวใหม่ๆ เบสบอลก็ถือว่าเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

บาสเกตบอลคืออะไร

กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาประจำชาติอเมริกา ได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อความต้องการในการช่วยเหลือบรรดาสมาชิก Y.M.C.A. ได้เล่นกีฬาในฤดูหนาว เนื่องจากในช่วงฤดูหนาวสภาพพื้นภูมิประเทศโดยทั่วๆไป ถูกหิมะปกคลุม อันเป็นอุปสรรคในการเล่นกีฬากลางแจ้ง เช่น อเมริกันฟุตบอล เบสบอล คณะกรรมการสมาคม Y.M.C.A. ได้รับพยายามหาหนทางแก้ไขให้บรรดาสมาชิกทั้งหลายได้เล่นกีฬาในช่วงฤดูหนาวโดยไม่เกิดความเบื่อหน่าย ซึ่งในช่วงปี ค.ศ. 1891 Dr.James A.Naismith ครูสอนพลศึกษาของ The International Y.M.A.C. Training School อยู่ที่เมือง Springfield รัฐ Massachusetts ได้รับมอบหมายจาก Dr.Gulick ให้เป็นผู้คิดค้นการเล่นกีฬาในร่มที่เหมาะสมที่จะใช้เล่นในช่วงฤดูหนาว Dr.James ได้พยายามคิดค้นดัดแปลงการเล่นกีฬาอเมริกันฟุตบอลและเบสบอลเข้าด้วยกันและให้มีการเล่นที่เป็นทีม

ในช่วงแรก Dr.James ได้ใช้ลูกฟุตบอลและตะกร้าเป็นอุปกรณ์สำหรับให้นักกีฬาเล่น เขาได้นำตะกร้าลูกพีชไปแขวนไว้ที่ฝาผนังของห้องพลศึกษาแล้วให้ผู้เล่นพยายามโดยลูกบอลลงในตะกร้านั้นให้ได้ โดยใช้เนื้อที่สนามสำหรับเล่น ให้มีขนาดเล็กลงแบ่งผู้เล่นออกเป็นข้างละ 7 คน ผลการทดลองครั้งแรกผู้เล่นได้รับความสนุกสนานตื่นเต้น แต่ขาดความระเบียบ มีการชนกัน ผลักกัน เตะกัน อันเป็นการเล่นที่รุนแรง

กฏกติกาของบาสเกตบอล

ก่อนที่กฏกติกาของบาสเกตบอลจะตายตัวนั้นความรุนแรงของเกมถือว่าเกิดขึ้นค่อนข้างสูง จึงได้มีทดลองปรับเปลี่ยนกฏกติกาและในการทดลองนั้น ต่อมา Dr.James ได้ตัดการเล่นที่รุนแรงออกไป และได้ทำการวางกติกาห้ามผู้เล่นเข้าปะทะถูกเนื้อต้องตัวกัน นับได้ว่าเป็นหลักการเบื้องต้นของการเล่นบาสเกตบอล Dr.James จึงได้วางกติกาการเล่นบาสเกตบอลไว้เป็นหลักใหญ่ๆ 4 ข้อ ด้วยกันดังนี้

  1. ผู้เล่นที่ครอบครองลูกบอลอยู่นั้นจะต้องหยุดอยู่กับที่ห้ามเคลื่อนที่ไปไหน
  2. ประตูจะต้องอยู่เหนือศีรษะของผู้เล่น และอยู่ขนานกับพื้น
  3. ผู้เล่นสามารถครอบครองบอลไว้นานเท่าใดก็ได้ โดยคู่ต่อสู้ไม่อาจเข้าไปถูกต้องตัวผู้เล่นที่ครอบครองบอลได้
  4. ห้ามการเล่นที่รุนแรงต่างๆ โดยเด็ดขาด ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะต้องกระกบกระแทกกัน
หลังจากได้วางกฏกติกาการเล่นขึ้นมาแล้วก็ได้นำไปทดลองและพยายามปรับปรุงแก้ไขระเบียบให้ดีขึ้น มีการพยายามลดจำนวนผู้เล่นลงเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน จนในที่สุดก็ได้กำหนดตัวผู้เล่นไว้ฝ่ายละ 5 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมที่สุดกับขนาดเนื้อที่ในสนาม โดยกฏกติกาหลักของบาสเกตบอลนั้นจะมีดังนี้
  1. ผู้เล่นห้ามถือลูกบอลแล้ววิ่ง
  2. ผู้เล่นจะส่งบอกไปทิศทางใดก็ได้ โดยใช้มือเดียวหรือสองมือก็ได้
  3. ผู้เล่นจะต้องเลี้ยงบอลไปทิศทางใดก็ได้ โดยใช้มือเดียวหรือสองมือก็ได้
  4. ผู้เล่นต้องใช้มือทั้งสองเข้าครอบครองบอล ห้ามใช้ร่างกายช่วยในการครอบครองบอล
  5. ในการเล่นจะใช้ไหล่กระแทก หรือใช้มือดึง ผลัก ตี หรือทำการใดๆ ให้ฝ่ายตรงข้ามล้มลงไม่ได้ ถ้าผู้เล่นฝ่าฝืนถือเป็นการฟาวล์ 1 ครั้ง ถ้าฟาวล์ 2 ครั้ง จะหมดสิทธิ์ในการเล่น จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำประตูกันไดด้จึงจะกลับมาเล่นได้อีกครั้ง ถ้าเกิดการบาดเจ็บระหว่างการแข่งขัน จะไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นใดๆ
  6. ห้ามใช้ขาหรือเท้าแตะลูก ถือเป็นการฟาวล์ 1 ครั้ง
  7. ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำฟาวล์ติดต่อกัน 3 ครั้ง จะนับว่าอีกฝ่ายได้ประตูไปทันที
  8. ประตูที่ทำได้หรือนับว่าได้ประตูนั้น ต้องเป็นการโยนบอลให้ลงตะกร้า ฝ่ายป้องกันจะได้ยุ่งเกี่ยวกับประตูไม่ได้เด็ดขาด
  9. เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำลูกบอลออกนอกสนาม ต้องให้อีกฝ่ายส่งลูกเข้าเล่น และจะทำหน้าที่เป็นผู้รักษาเวลาบันทึกจำนวนประตูที่ทำได้และทำหน้าที่ทั่วไปตามวิสัยของผู้ตัดสิน
  10. การเล่นแบ่งออกเป็น 2 ครึ่ง ครั้งละ 20 นาที
  11. ฝ่ายที่ทำประตูได้มากที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ ในกรณีที่คะแนนมีเท่ากัน จะทำการต่อเวลาเพิ่มให้ออกไป และถ้าฝ่ายใดทำคะแนนได้ก่อนจะถือว่าเป็นผู้ชนะ

วิธีการแทงบาสเกตบอลออนไลน์

บาสเกตบอลก็สามารถกลายมาเป็นการพนันอีกรูปแบบหนึ่งได้ โดยเหมือนกับการพนันเกมกีฬาทั่วไปอย่างเช่น ฟุตบอล โดยผู้เล่นจะต้องทำการเลือกว่าจะแทงฝั่งไหน ซึ่งจะต้องเลือกจำนวนเงินที่ต้องการจะแทง และหลังจากนั้นก็คอยติดตามผลของการแข่งขันนั้นๆ โดยสามารถดูสดผ่านทางเว็บไซต์ได้โดยตรง UFA MIAMI789 เองก็สามารถดูทุกกีฬาสดออนไลน์ได้เลย สร้างความสะดวกสบายต่อผู้เล่นที่ไม่ต้องการจะเปิดหลายๆจอในเวลาเดียวกัน

ข้อดีและข้อเสียของการแทงบาสเกตบอล

ข้อดี

  • มีรูปแบบการแทงที่เข้าใจได้ง่าย
  • หากเข้าใจทีมที่ต้องการแทงอย่างดี ก็จะเพิ่มโอกาสชนะได้สูง
  • ตัวเกมถือว่ามีความรวดเร็วกว่าฟุตบอล
  • สามารถดูสดออนไลน์ได้เสมอ

ข้อเสีย

  • ควรเข้าใจกฏกติกาของตัวเกมสะก่อน
  • ไม่ใช่กีฬาที่คนไทยทั่วไปจะดู
  • เซียนบาสเกตบอลพานำเล่นมีค่อนข้างน้อยในไทย

สรุป

บาสเกตบอลเป็นเกมกีฬาที่อาศัยการเล่นในร่มผ้า มีกฏกติกาที่คล้ายคลึงกับฟุตบอล แต่เปลี่ยนจากการเล่นด้วยเท้ามาเป็นมือแทน แต่มีความสนุกที่ไม่แพ้กัน มีระยะเวลาเล่นที่สั้นกว่าเกือบครึ่ง ทำให้ตัวเกมมีความรวดเร็วและต้องอาศัยความกระตือรือร้นของนักกีฬาเป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับใครที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจ เป็นเกมการพนันที่เข้าใจได้ง่ายเหมือนกันฟุตบอลเช่นกัน ยิ่งเป็นคอบาสเกตบอลยิ่งไม่ควรพลาด

ฮอกกี้น้ำแข็งคืออะไร

กีฬาฮอกกี้น้ำแข็งเป็นกีฬาของประเทศแคนนาดาในช่วงศตวรรษที่ 19 และได้รับนิยมเป็นอย่างมากจนกลายเป็นกีฬาประจำชาติของแคนนาดา เป็นเกมกีฬาที่เล่นกันบนน้ำแข็ง ซึ่งจะมีอุปกรณ์สำคัญคือ ไม้ฮอกกี้ ลูกฮอกกี้ รองเท้าสเก็ตน้ำแข็ง และชุดป้องกัน โดยกฏกติกาของฮอกกี้นั้นจะเป็นการเลี้ยงลูกบนน้ำแข็งเพื่อให้เข้าประตูของอีกฝ่าย คล้ายๆกับฟุตบอล แต่ต้องทำการเลี้ยงด้วยไม้เท่านั้น แต่ความสนุกของฮอกกี้นั้นไม่ใช่แค่เพียงการทำคะแนนเท่านั้น แต่ยังมีของเรื่องด้านความรุนแรงในสนามอีกเช่นกัน

ความรุนแรงของฮอกกี้น้ำแข็ง

ฮอกกี้น้ำแข็งนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเกมกีฬาที่ใช้ความรุนแรงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นกฏอีกอย่างของฮอกกี้กันเลยก็ว่าได้ เพราะการไถ่บนน้ำแข็งนั้นทำให้การสมดุลควบคุมได้ยาก และอาจจะทำให้เกิดการปะทะกัน ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นการจงใจในการปะทะแต่ละครั้ง ซึ่งอาจจะรุนแรงจนถึงขั้นปะทะคารมณ์กันเลยทีเดียว จนผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นไม่สามารถจะเล่นได้ครบนาทีด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่การควบคุมการเคลื่อนไหวบนน้ำแข็งก็ใช้พลังงานเป็นอย่างมากแล้ว ยังมีเรื่องของการปะทะกันอีกต่างหาก ทำให้ผู้เล่นฮอกกี้ส่วนใหญ่นั้นมีความอึดอดทนเป็นอย่างมาก จนบางทีมอาจจะเน้นนักกีฬสายต่อสู้มากกว่านักกีฬาฮอกกี้จริงๆสะอีก

กฏกติกาการเล่นของฮอกกี้น้ำแข็ง

ฮอกกี้น้ำแข็งคือฟุตบอลบนน้ำแข็ง โดยเล่นบนสนามที่มีขนาดเพียง 30 x 60 เมตร มีกำแพงกั้นรอบทิศ ทำให้ลูกฮอกกี้ไม่สามารถออกนอกสนามได้ ทั้งสองฝ่ายจะมีประตูอยู่ฝั่งละหนึ่งประตู และจะมีผู้เล่นฝั่งละ 6 คน โดยจะมีผู้เล่นคนหนึ่งต้องเป็นผู้รักษาประตู มีระยะการแข่งแมตช์ละ 20 นาที พักครั้งละ 15 นาที ทั้งหมด 3 รอบ มีกฏกติกาคล้ายคลึงกับฟุตบอลตรงที่จะมีเรื่องของการล้ำหน้า แต่จะสามารถทำการเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ตลอดเวลา โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโค้ชว่าจะให้ผู้เล่นอยู่บนสนามนานแค่ไหน ซึ่งส่วนมากจะอยู่บนสนามเพียง 45 – 50 วินาที เพราะความเหนื่อยล้าของนักกีฬาอาจจะส่งผลต่อรูปเกมได้ การรักษาแรงของนักกีฬาจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ฮอกกี้น้ำแข็งมีรูปแบบการแทงแบบใดบ้าง

โดยทั่วไปแล้วจะมีรูปแบบการแทงทั้งหมด 3 แบบ ซึ่งบางเว็บอาจจะมีกฏการแทงที่เพิ่มเติมไม่เหมือนกัน แต่กฏหลักการแทงจะมี 3 แบบดังนี้

  1. แต้ม หมายถึงคุณสามารถเดิมพันด้วยตัวเลขของแต้มการแข่งขัน ไม่จะว่าของตลอดทั้งวันการแข่งขัน ( รวทถึงการทดเวลา ) หรือเฉพาะบางช่วงแข่งขัน
  2. คู่/คี่ หมายถึงการเดิมพันว่าผลการแข่งขันจะเป็นแต้มคะแนนเลขคู่หรือเลขคี่
  3. แฮนดิแคป หมายถึงการเล่นเกมแบบทีมที่มีแต้มต่อ

สรุป

ฮอกกี้น้ำแข็งเป็นเกมกีฬาที่เล่นกันบนน้ำแข็งและมีกฏกติกาคล้ายคลึงกับฟุตบอล ซึ่งจะมีความสนุกจากการใช้ความรุนแรงในสนามเป็นอย่าง มีรูปแบบในการพนันที่เรียบง่าย เพราะจะมีแค่เพียง 3 รูปแบบเท่านั้น ทำให้การแทงกีฬาฮอกกี้นั้นเป็นเรื่องที่ง่าย ทำให้สามารถสนุกเพลิดเพลินกับกีฬาได้เรื่อยๆ โดยผู้เล่นสามารถลุ้นและสนุกไปกับกีฬานี้ได้กับที่เว็บไซต์ของเรา UFA MIAMI789 ได้เลย ฝาก ถอน โอนไว มีบริการ 24 ชม. และยังมีแอดมินให้พูดคุยสอบถามได้ตลอด

การแทงม้าคืออะไร

กีฬาการแทงม้าเป็นเกมพนันที่ได้รับความนิยมในการเล่นอีกเกมหนึ่ง ซึ่งในอดีตเราอาจจะแทงม้าตามตู้ม้า ในสถานบันเทิงและบางก็ชอบแทงม้าในสนามแข่งม้า การแข่งม้าในปัจจุบันได้รับความนิยมมาก ในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ไทย ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ ออสเตเลีย ฮ่องกง สิงคโปร แคนาดา เป็นต้น จึงทำให้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นเกมออนไลน์ในเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งยังคงใช้รูปแบบการเล่นที่เหมือนเดิมหรืออาจจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอในอีกรูปแบบอื่น ซึ่งอาจจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า

วิธีการเดิมพันการแทงม้า

การเดิมพันม้าแข่งมีอยู่ 2 แบบทั้งแบบการเดิมพันม้าแบบแข่งจริง และการเดินพันม้าแข่งแบบจำลองหรือเกม Simulator เข้ามาช่วยให้อัตราเดิมพันของนักเล่นดียิ่งขึ้น รวมถึงจะมีคำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่ควรจะคิดถึง และสิ่งที่เครื่องมือจะเข้ามาช่วยคุณในการติดตาม รวมไปถึงกลยุทธ์การวางเดิมพันม้าแข่ง ซึ่งแต่ละรอบก็จะมีม้าลงตัวที่เข้าเส้นชัยก่อนกัน ซึ่งจะมีสถิติ คะแนนความสามารถต่างๆ ของม้าให้วิเคราะห์ โดยปกติ การแทงพนันม้าแข่งที่สนามม้า มีขั้นตอนการแทงตามนี้คือ

  1. ผู้เล่นต้องลงชื่อสนามที่ใช้แข่งขัน
  2. ระบุเลือกจำนวนเงิน ที่ผู้เล่นต้องการจะเล่น
  3. เลือกชนิดของการเดิมพัน
  4. ผู้เล่นสามารถเดิมพัน ม้าแข่งชนะเลิศได้เพียงตัวเดียว หรือจะเดิมพันม้าแข่งในรูปแบบอื่นๆ ก็ได้
  5. ระบุจำนวนม้าหรือม้าที่ผู้เล่นใช้
  6. แล้วสุดท้ายต้องตรวจสอบการลงเงินวางเดิมพันของผู้เล่น ก่อนที่จะออกจากสนามม้าก่อนที่ผู้เล่นจะออกจากหน้าต่างส่วนที่จะกล่าวต่อไปเป็นรูปแบบการเดิมพันออนไลน์ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ ดังต่อไปนี้

ประเภทการเดิมพันการแทงม้า

การเดิมพันม้าแข่งนั้นมีหลายประเภท ซึ่งรูปแบบการเดิมพันนั้นก็อาจจะแตกต่าง และประเภทการเดิมพันที่เราอาจจะพบบ่อยๆได้แก่

  • การเดิมพันชนะ ( Win Bet ) คือ การทายว่าม้าแข่งตัวไหนชนะ อันดับที่ 1
  • การเดิมพันลำดับ/เข้าที่ ( Place Bet ) คือ การทายว่าม้าแข่งจะเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1 หรือ 2
  • การเดิมพันแบบติดโพย ( Show Bet ) คือ การทายว่าม้าตัวไหนจะเข้าเส้นชัย ในอันดับ 1-2-3
  • การเดิมพันแบบวิลกินส์ ( Win Quinella ) คือ การทายว่าม้าตัวไหนจะเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ  1 และ 2
  • การเดิมพันเอ็กแซกต้า ( Exacata Bet ) คือ การทายว่าม้าตัวไหนจะเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1 ,2 ,3
  • การเดิมพันแบบไตรเฟกตา ( Tricefa Bet ) คือ การเดิมพันว่าม้าตัวไหนจะเข้าเส้นชัย เป็น 1 ,2 ,3 และ 4
  • การเดิมพันแบบซุปเปอร์เฟคตา ( SuperFecta ) คือ การเดิมพันว่าม้าตัวไหนจะเข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่ 1 ,2 ,3 ,4 และ 5
  • การเดิมพันแบบดับเบิ้ลบีม ( Double Beem ) คือ การทายว่าม้าตัวไหนจะชนะ 2 รายการติดต่อกันติดกัน
  • การเดิมพันแบบไฮโล ( High-Low ) คือการเดิมพันว่าม้าตัวไหนเจ้าเป็นอันดับที่ 1 และม้าตัวไหนเข้าเป็นลำดับสุดท้าย
  • การเดิมพันแบบเดลี่ดับเบิ้ล ( Daily Double ) คือการท้ายว่าม้าตัวไหนชนะ 2 สนาม กับรายการที่แตกต่างในวันเดียวกัน
  • การเดิมพันแบบพิค 3 ( Phik 3 ) คือ การเลือกเดิมพันที่ทายว่าม้าตัวไหนจะชนะการแข่งขัน 3 รายการติดต่อกัน โดยจะต้องเลือกม้า 1 ตัวสำหรับแต่ละการแข่งขัน

การเดิมพันการแทงม้า

เรียกว่าอีกอย่างว่าการแทงแบบ Win การแทงในแบบนี้ตามที่บอกในขั้นต้น ผู้เล่นต้องทำการเลือกแทงม้าตัวที่ต้องการ เพื่อให้เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 เท่านั้น หากม้าที่ผู้เล่นเลือกแทง ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งตัวอื่น และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 ได้นั้น ผู้เล่นจะเสียเงินเดิมพันทั้งหมดทันที ทั้งนี้ยังมีวิธีการเล่นที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเลือกที่จะแทงม้าอันดับ 1 ถูกอย่างมีโอกาสที่สูงกกว่าปกติอีกด้วยเช่นกัน ทำให้ผู้เล่นไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเงินเดิมเปล่าๆได้เลย

ประเภทของการแข่งม้า

ประเภทกีฬาการแข่งม้าในปัจจุบันจะมีอยู่อย่างหลากหลายประเภท ถ้าเป็นการแข่งที่ควบคุมโดยสมาพันธุ์แข่งม้านานาชาตินั้น มีด้วยกันถึง 6 ประเภท โดยจะมีทั้งหมดดังนี้

  1. Dressage ( ศิลปการบังคับม้า ) ก่อนการแข่งขันผู้เข้าแข่งขันจะได้รับแบบทดสอบที่กำหนดว่าจะต้องทำท่าอะไรบ้างในเวลาที่กำหนดให้เรียกว่าคะแนนท่าบังคับ โดยจะมีคะแนนเต็มข้อละ 10 คะแนนแพ้ชนะดูจากคะแนนที่ได้รับในแต่ละข้อรวมกัน ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด คือผู้ชนะ
  2. Show Jumping ( กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ) ประเภทนี้ คะแนนที่ทุกคนได้รับก่อนการแข่งขันคือ 0 คะแนนถ้านักกีฬาสามารถกระโดดข้ามเครื่องกีดขวางได้ทุกเครื่องโดยไม่ทำไม้ขวางตก ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ( วัดระยะทางไว้แล้ว ) ก็จะมีคะแนนเป็น 0 คะแนน ถือเป็นคะแนนที่ดีที่สุด เพราะหากไม่สามารถข้ามสิ่งกีดขวางได้คะแนนก็จะติดลบตามจำนวนสิ่งกีดขวางที่ไม่สามารถข้ามได้ คะแนนเป็น 0 จึงถือเป็นคะแนนที่ดีที่สุด
  3. Eventing ( อีเว้นติ้ง ) เป็นประเภทที่ตื่นเต้น สนุกเร้าใจและยังสามารถมีโอกาสแก้ตัวได้ในวันต่อไป เนื่องจากีฬาขี่ม้าประเภทนี้ต้องทดสอบถึง 3 แบบ คือศิลปะการบังคับม้า ข้ามภูมิประเทศ และกระโดดข้ามเครื่องกีดขว้าง แล้วเอาคะแนนทั้งหมดมารวมกัน ใครเสียคะแนนน้อยที่สุดคนนั้นจะเป็นผู้ชนะ โดยจะมีการแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 วัน ได้แก่ วันแรกเป็นการแข่งขันศิลปะการบังคับม้า และวันที่สองจะเป็นการแข่งขันข้ามภูมิประเทศ
  4. Driving ( รถม้า ) เป็นการแข่งขันที่จะให้ม้าทำการติดตั้งรถม้าและลากนักกีฬาไปด้วย
  5. Vaulting ( ยิมนาสติกบนหลังม้า ) เป็นการแข่งขันที่นักกีฬายิมนาสติกจะขึ้นไปแข่งขันกันบนหลังม้า เป็นการประกวดทัษณะของทั้งนักกีฬาและตัวม้าไปพร้อมกัน
  6. Endurance ( การขี่ม้าวิบาก ) เป็นการแข่งขันความอึดของม้า โดยจะเน้นการวิ่งเป็นระยะเวลานานๆ

สูตรลับวิธีการแทงม้า

สำหรับผู้เล่นที่ต้องการจะชนะการเดิมพันการแทงม้าให้มีโอกาสชนะที่ค่อนข้างสูงนั้น จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการแข่งม้าให้ดีเสียก่อน และต้องคอยติดตามกันแข่งขัน ประวัติของม้า ผู้ดูแล และปัจจัยหลายๆอย่างให้ดีเสียก่อน เพราะการแทงม้านั้นไม่ใช่แค่เพียงเลือกม้าที่ถูกใจหรือมีความแข็งแรงที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่กลับเป็นทุกอย่างที่เกี่ยวในสนามในตอนนั้น เพราะทุกปัจจัยอาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างได้ โดยจะมีปัจจัยดังนี้

  1. ผู้เล่นต้องเริ่มต้นจากการเช็คประวัติ ม้าแข่งที่เข้าเส้นชัยที่ผ่านมาของม้าแข่งแต่ละตัวว่าตัวไหนจะเข้าเส้นชัยก่อน และมีสถิติที่ดี แต่หากหลังจากที่ม้าตัวนั้นเข้าอันดับแรกแล้วในรอบแข่ง การที่ม้าตัวเดิมนั้นจะยังเหลือพลังงานเพื่อขึ้นกลับมาที่หนึ่งอีกครั้งนั้นจะเป็นไปได้ยาก จึงควรดูว่าม้าตัวไหนที่ยังเหลือแรงและมีสถิติที่ดีรองลงมา
  2. ม้าชนะ หมายถึงม้าที่ผู้เล่นเลือกเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 เท่านั้น
  3. ม้ารอง หมายถึงม้าที่ผู้เล่นเลือกมาเป็นอันดับ 1 ,2 ,3 หรือบางรายการแข่งขันอาจจะนับตัวที่เข้ามาเป็นอันดับที่ 4 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับในการแข่งขันนั้นๆว่า จะมีจำนวนม้าเข้าแข่งขันกี่ตัว
  4. การถอดรหัสแบบฟอร์มม้าแข่ง DRF ( Decoding the Racing Form ) คุณต้องศึกษาแบบฟอร์มของบัตรม้าแข่ง ซึ่งจะมีข้อมูลสถิติที่เกี่ยวกับการแข่งขันของม้าแต่ละตัวที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นเทียบสถิติความเป็นไปได้ต่อไปในการแข่งขันได้ง่ายขึ้น
  5. ระยะทางของสนามการแข่งขัน โดยความสำคัญของระยะทางของสนามแข่งนั้นถือว่าเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับผู้เล่นเลยก็ว่าได้ เพราะม้าแต่ละตัวจะมีความถนัดหรือกรรมพันธุ์ที่แตกต่างกัน โดยหากนำมาใช้งานเพื่อขี่นั้นจะมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ ม้าเร็ว ซึ่งเหมาะกับการวิ่งในระยะสั้นๆแต่สามารถทำความเร็วได้เป็นอย่างดี เหมาะกับสนามที่มีระยะทางสั้น ใช้เวลาไม่นานในการแข่ง และอีกประเภทก็คือ ม้าอึด เหมาะการวิ่งเป็นระยะเวลานานและไกล แต่วิ่งได้ช้ากว่าม้าเร็ว ซึ่งเหมาะกับสนามที่มีระยะยาวมากกว่า
  6. คอยตรวจสอบสภาพอากาศและภูมิประเทศ เพราะว่าม้าที่นำมาแข่งนั้นจะมีความถนัดที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ม้าเบอร์ 1 สามารถวิ่งได้เร็วแต่เฉพาะกับดินที่แห้งสนิทเท่านั้น แต่ม้าเบอร์ 2 มีสถิติที่วิ่งได้ช้ากว่า แต่กลับสามารถวิ่งบนดินชื้นได้ดีกว่าจนอาจจะวิ่งได้เร็วกว่าม้าเบอร์ 1 ในตอนนั้นก็ว่าได้ เมื่อทำการแทงม้าเราควรศึกษาม้าทุกตัวให้ดีเสียก่อน เพราะเพียงแค่ปัจจัยเล็กๆก็สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

สรุป

การแทงม้านั้นเป็นการพนันที่อาศัยทักษณะความรู้เป็นอย่างมาก อาจจะมีเรื่องโชคเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่หากข้อมูลที่ผู้เล่นมีนั้นเยอะมากพอที่จะสามารถวิเคราะห์ได้ ก็จะสามารถสร้างรายได้จากการแทงม้าได้อย่างง่ายดายกันเลยทีเดียว และยิ่งใครเป็นผู้เล่นหลงไหลในกีฬาการแข่งม้าอยู่แล้วนั้น ก็จะยิ่งได้เปรียบมากกว่าผู้อื่น ทำให้เป็นเกมการพนันที่เหมาะสำหรับคนกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นเกมการพนันที่ต้อนรับผู้เล่นใหม่อยู่เสมอ เพราะก็ยังคงขึ้นชื่อว่าเป็นกีฬา ที่สามารถสร้างความบันเทิงให้กับผู้เล่นได้เรื่อยๆ เหมือนกับบอล เพียงแต่อาจจะเป็นอะไรที่เฉพาะกลุ่มสักเล็กน้อย แต่หากผู้เล่นเปิดใจไปกับการแข่งม้าแล้ว คงจะต้องสนุกไปกับมันอย่างแน่นอน และยิ่งมีการเดิมพันด้วยแล้วก็จะยิ่งเพิ่มอรรถรสยิ่งขึ้นไปอีก

กำถั่วเล่นยังไง สำหรับมือใหม่

การเล่นกำถั่ว เป็นการพนันที่มาจากประเทศจีน โดยมีกฏกติกาการเล่นที่ง่ายและรวดเร็ว เป็นเกมที่มีอัตราการจ่ายเงินที่ดีด้วยเช่นกัน โดยรูปแบบจะคล้ายคลึงกับน้ำเต้าปูปลาที่เราจะต้องเลือกหน้าแต้มที่เราจะลง โดยจะมีการเล่นแบบเต็ง ควบสอง และ ควบสาม ซึ่งจะให้รางวัลที่แตกต่างกัน อุปกรณีในการเล่นจะใช้ เมล็ดถั่ว เมล็ดมะขาม เมล็ดพืช เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันก็ได้มีการดัดแปลงจากเมล็ดถั่วมาเป็นกระดุม เพื่อความสะดวกและความอนามัย เป็นเกมที่พัฒนาวิธีเล่นเพียงเล็กน้อยจากเมื่อก่อน

วิธีการเล่นกำถั่ว

โดยผู้เล่นจะได้รับเวลาให้เลือกการวางเดิมพันกับตำแหน่งต่างๆที่ต้องการ เมื่อหมดเวลาเดิมพันแล้ว ทางเจ้ามือจะทำการสุ่มตักถั่วออกมา จากนั้นจะทำการแยกถั่วที่ตักออกมาเป็นกอง กองละ 4 เม็ด กองสุดท้ายจะเป็นกองที่ใช้ตัดสินการออกรางวัล เป็นเกมที่ตัดสินใจกันด้วยดวงอย่างมาก แต่ผู้เล่นสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้โดยเลือกตำแหน่งที่มีอัตราความเสี่ยงต่ำได้ แต่ก็จะแลกมาด้วยอัตราการเงินรางวัลที่ต่ำด้วยเช่นกัน

อัตราการจ่ายของกำถั่ว

สำหรับตำแหน่งการวางเดิมพันของเกมถั่วดำ จะมีตำแหน่งการเดิมพันอยู่ 3 แบบ โดยจะมีดังนี้

  1. เลขเต็ง หรือ หมายเลขเดี่ยว สำหรับตำแหน่งนี้จะเป็นการวางตัวเดิมพันว่า เม็ดถั่วกองสุดท้ายจะเหลือเม็ดถั่วกี่เม็ด ตั้งแต่ 1 เม็ด ถึง 4 เม็ด ซึ่งตำแหน่งนี้จะมีความเสี่ยงที่สุดของเกมส์กำถั่ว เพราะมีอัตราการเสี่ยงถึง 25% หรือ 1 ใน 4 นั่นเอง ซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าหากมีการเดิมพันที่อัตราเสี่ยงสูงก็จะยิ่งได้รับเงินรางวัลสูงเช่นกัน โดยอัตราการจ่ายจะอยู่ที่ 2.85 เท่า หรือ 1 ต่อ 2.85 ของเงินเดิมพัน
  2. เต็งคู่ หรือ ควบสอง สำหรับตำแหน่งนี้จะเป็นการวางเดิมพันที่ลดความเสี่ยงลงจากการเต็งในระดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นการเดิมพัน 2 หมายถึงในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ลดความเสี่ยงในระดับหนึ่ง โดยอัตราความเสี่ยงจะลดลงเหลือเพียง 50 % หรือ 1 ใน 2 โดยจะมีช่องการวางเดิมพันดังนี้ 1 – 2 ,1 – 3 ,1- 4 ,2 – 3 ,2 – 4 ,3 – 4 ซึ่งในการดูผลชนะ ถ้าเดิมพันลงในช่อง 2 – 3 แล้วผลของเม็ดถั่วกองสุดท้ายมีเพียง 2 เม็ด หรือ 3 เม็ด ก็จะชนะและได้รับรางวัล โดยจะมีอัตราการเงินรางวัลอยู่ที่ 0.95 เท่า หรือ 1 : 0.95 จากเงินเดิมพัน
  3. แทงควบ หรือ ควบสาม สำหรับตำแหน่งนี้ จะมีโอกาสชนะอย่างมาก เพราะอัตราการชนะสูงถึง 75% หรือ 3 ใน 4 นั้นเอง เนื่องจากมีโอกาสที่จะชนะมาก อัตราจ่ายก็น้อยลงไปด้วย ซึ่งจะมีอัตราการจ่ายเพียง 0.32 เท่า หรือ 1 : 0.32 ของเงินเดิมพัน ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ควรวางเดิมพันที่สุด ถึงจะทำให้ได้เงินรางวัลน้อยก็ตาม แต่ก็กลับมีอัตราการชนะที่สูงเป็นอย่างมาก

7 สูตรกำถั่วยอดนิยม

  1. สูตรลงพนันควบ 2 เลข สำหรับสูตรนี้ตามชื่อสูตรเลยนั่นคือ ให้ผู้เล่นทำการเดิมพัน 2 เลขลำดับที่ถือได้ว่าเป็นสูตรที่จะมีโอกาสชนะแบบ 50:50 รวมไปถึงยังมีอัตราการจ่ายที่เรียกได้ว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว
  2. สูตรการแทงแบบเลข 2 และ 3 จากสูตรแรกหลายคนอาจจะเกิดคำถามว่าจะเลือกเลข 2 ลำดับเลขไหนดี หากให้เลือกอย่างปลอดภัยควรเลือกเลขลำดับ 2 และเลข 3 เพราะเป็นเลขที่มีการเก็บสถิติของเกม โดยจะมีโอกาสออกสูงถึงราวๆ 66% กันเลยทีเดียว
  3. สูตรแบบฟอร์มูล่าหรือแนวทางการคาดคะแน โดยจะเป็นการคาดจากสถิติก่อนหน้านี้ว่าจะออกผลเป็นยังไง อย่างเช่น 5 รอบที่ผ่านมามีการออกผลชนะเป็นเลข 1 – 2 – 2 – 3 – 3 ในตาถัดไปให้ลงเดิมพันแบบ 1 เลขในเลข 3 หรือลงแบบควบ 2 เลขในเลขลำดับที่ 2 และ 3
  4. สูตรคูญ 1 สำหรับการเดิมพันแบบเลขสองตัวถือได้ว่าเป็นการเล่นที่เรียกกันว่า สูตรกั๊ก โดยผู้เล่นจะได้รับอัตราการเดิมพันแบบ 1:2.85 ซึ่งจะทำให้มีโอกาสในการรับการเดิมพันที่มากกว่า อย่างเช่น เดิมพันเลข 1 ที่ 2000 และเดิมพันเลข 2 ที่ 2000 หรือไม่ว่าจะเป็นการเลือกเดิมพันแบบ 3 ตัวและเพิ่มอัตราการเดิมพันเป็นเดิมพัน 3 ที่ 2000 โดยในการเดิมพันแบบ 3 ตัวจะมีตัวเลขที่ผู้เล่นได้เลือกเดิมพันที่ 3 ชุดได้แก้ 1 – 2 – 3 ,1 – 2 -4 ,1 – 3 – 4 ,2 – 3 – 4 และถือได้ว่าเป็นการเดิมพันที่เจ๋งมากทีเดียววกับการใช้สูตรนี้
  5. สูตรพิชิตเงินแบบต่อเนื่อง ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสูตรที่ได้รับการยอมรับ วิธีการใช้สูตรนี้ก็ง่ายๆ แค่วางเดิมพัน 2 หมายถึงซึ่งจะมีหมายเลขหนึ่งที่ตรงกับที่คุณเดิมพันแน่นอนและสูตรนี้ที่ผู้เล่นจะได้รับการเดิมพันในอัตราที่ 1:0.95 และมีให้เลือกในรูปแบบของเลขแต่ละคู่ได้แก่ 1 – 2 ,1 – 3 ,4 -2 ,3 – 2 ,4 – 3 ,3 – 4 ให้เลือกเลขแต่ละคู่เพื่อเดิมพันได้ตามต้องการและถืได้ว่าเป็นสูตรที่มีความเป็นไปได้สูงที่ชนะมากกว่าเดิมพันเลขเดียว
  6. สูตรเดินเงิน Martingale เรียกได้ว่าเป็นสูตรสุดฮอต โดยจะเป็นการเดินเงินในรูปแบบของการทบไปเรื่อยๆ เมื่อแพ้แต่ถ้าชนะก็ให้เดิมพันเท่าเดิมไปเรื่อยๆ นั่นเองซึ่งข้อดีของสูตรนี้ก็คือ ถ้าแพ้ติดกันแล้วชนะ คุณจะได้ทุนที่แพ้ 2 รอบแรกคืน โดยจะมีลักษณะดังนี้ หากชนะให้วางเดิมพันเท่าเดิมไปเรื่อยๆ หรือ ถ้าชนะให้วางเดิมพันอัพเพิ่มเป็น 2 เท่าของเงินรอบล่าสุด
  7. สูตรเดินเงิน Super Martingale โดยสูตรนี้จะต่างจากสูตรมาร์ติงเกลเพราะจะมีการเพิ่มจำนวนเดิมพันมากกว่าเป็น 2 เท่า +1 หน่วยของเงินเดิมพันรอบล่าสุด ถ้าแพ้แต่ถ้าหากว่าชนะให้ลงเท่าเดิม โดยมีวิธีการดังนี้
  • หากชนะให้วางเดิมพันเป็นจำนวนเท่าเดิมไปเรื่อยๆ อย่างเช่น ถ้าในตาแรกเดิมพันที่ 1 หน่วยแล้วชนะ ในตาถัดไปให้เดิมพันเท่าเดิม เดินเงินแบบนี้ไปจนกว่าจะ 1-1-1-1-1
  • ถ้าแพ้ ให้วางเดิมพันเพิ่มเป็น 2 เท่า +1 หน่วยของเงินเดิมพันล่าสุด อย่างเช่น ในตาแรกเดิมพัน 1 หน่วยแล้วแพ้ ในตาถัดไปให้เดิมพัน 3 หน่วยและถ้าหากกว่าแพ้อีก ตาถัดไปเพิ่มเป็น 7 หน่วยทำแบบนี้ไปจนกว่าจะชนะ จากนั้นให้เริ่มนับหนึ่งใหม่ 1-3-7-15-31
เข้าสู่ระบบสมัคร
แนะนำเพื่อนติดต่อเรา